น้อง.พี่.ที่รัก เป็นผลงานเรื่องล่าสุดของค่ายใหม่แต่หน้าเก่าอย่าง GDH โดยนักแสดงนำของเรื่องก็ระดับแม่เหล็กของวงการอย่างฝ่ายชายก็มี ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ และ นิชคุณ หรเวชกุล ส่วนฝ่ายหญิงก็ไม่แพ้กันที่ได้ ญาญ่า อุรัสยา เสเปอร์บันด์ มาเป็นนางเอกของเรื่อง
จากนี้ไปจะมีการ Spoil และมีการเอ่ยถึงเนื้อหาในเรื่องบางส่วนนะครับ ขอแนะนำว่าหากใครยังไม่ดูและคิดว่าจะไปดูก็ขอให้ข้ามไปเลยครับ
.
. .
. . .
. . . .
. . . . .
จะเริ่มแล้วนะครับ ถ้ายังอ่านต่อไปถือว่าเราเตือนคุณแล้ว !!!
. . . . .
. . . .
. . .
. .
.
ภาพจาก http://www.homecable.co.th/entertainment/movies/news_26586/
“น้อง.พี่.ที่รัก” เรื่องราวจะเน้นไปที่ตัวเอกของเรื่องคือ “ชัช” หรือ “ขอย” ที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายโลดโผนมานานจนกระทั่ง “เจน” น้องสาวแท้ ๆ ของตัวเองเรียนจบกลับมาจากญี่ปุ่นแล้วต้องมาอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่าตามประสาพี่น้องก็ต้องมีไม่ถูกกัน โดยเฉพาะ “ชัช” และ “เจน” ที่บุคลิคต่างกันสุดขั้ว “ชัช” ใช้ชีวิตอย่างล่องลอยไปมาดูไม่มีอนาคต ส่วน “เจน” ชีวิตมีแบบแผนตลอด สังเกตได้จากการที่เธอมีข้อมูลมาเสนอให้อีกฝ่ายหนึ่งตลอดในตอนที่เธอสัมภาษณ์งานครั้งแรก นั่นทำให้ผู้ชมได้เห็นว่าพี่น้องสองคนนี้ต่างกันสุดขั้วแค่ไหน
ที่มา: GDH
เมื่อเจนกลับมาเธอก็ได้งานทำในบริษัทญี่ปุ่น และนั่นเองทำให้เจนได้มาเจอกับโมจิหนุ่มลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น (ไม่มีดินแดงนะ)
ซึ่งบริษัทนี้ก็มีวิธีการรับพนักงานใหม่สุดแปลกคือต้องไปเล่นกีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอย่างเบสบอล ซึ่งในฉากเล่นเบสบอลนี้เองที่มีข้อความบางอย่างถูกใส่ลงมา
(เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนเอง ผู้กำกับอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะสื่ออย่างนั้นก็ได้)
ในฉากที่เจนต้องเล่นเป็นผู้ตีหรือ Batter ในภาษาเบสบอล ส่วนโมจิทำหน้าที่เป็นผู้ขว้างลูกหรือ Pitcher
(อธิบายกฎเบสบอลคร่าวๆ สำหรับคนที่ไม่รู้ ซักนิด ตามกฎของเบสบอลแล้วถ้าผู้ขว้าง ขว้างลูกออกมาเข้าสไตร์คโซนให้ Catcher รับแล้วผู้ตีตีไม่โดนหนึ่งครั้งจะนับเป็นหนึ่งสไตร์ค แล้วถ้าตีไม่โดนสามครั้งจะเรียกว่า Batter out คือต้องเปลี่ยนตัวผู้ตี)
โดยในฉากนี้ทางโมจิขว้างออกไปสองครั้งแล้วเจนไม่ตี จนโอกาสสุดท้ายคือครั้งที่สามหากเจนตีไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนตัวคนตีแต่โอกาสครั้งที่สามนี้เองที่เจนตีโดนจนลูกออกนอกสนามกลายเป็น Home Run ไปซะอย่างนั้น (อธิบายอีกซักนิด Home Run คือการที่คนตีหรือ Batter ตีจนฝ่ายรับไม่สามารถรับลูกได้เลยแม้แต่คนเดียว หรือตีออกนอกสนาม) ตัวหนังเองก็มีการอธิบายเรื่องที่เจนเคยเล่นเบสบอลเพราะ “ชัช” อ่านการ์ตูนเกี่ยวกับเบสบอลทำให้อยากเล่นเลยชวนเจนมาเล่นด้วยเพราะมีกันอยู่สองคน
ที่มา: GDH
หลังจากแข่งเบสบอลเสร็จทั้งเจนและโมจิก็มานั่งคุยกัน ซึ่งตัวหนังเองก็ทำให้เรารู้ว่าโมจิชอบเจนตั้งแต่แรกเห็น และเจนเองก็มีใจให้โมจิอยู่ ซึ่งเอาเข้าจริงหนังไม่ได้ทำให้เราอินกับความรักของสองคนนี้เท่าไร คือเรื่องชอบตั้งแต่แรกเห็นนี่เข้าใจได้ แต่การดำเนินเรื่องส่วนอื่นๆ ต่อไป ไม่ได้ทำออกมาให้ผู้ชมเห็นมากพอที่จะทำให้เชื่อว่าทั้งสองคนรักกันมาก รักกันขนาดที่โมจิจะยอมลาออกจากบริษัทเพื่อไม่ต้องกลับญี่ปุ่น และจะได้อยู่กับเจนต่อ
เป็นไปได้ว่าฉากเหล่านั้นอาจจะโดนตัดไปสังเกตได้จากตอนจบที่มีการเอาบางฉากที่ถูกตัดออกไปมาให้ผู้ชมดู ซึ่งถ้าฉากเหล่านี้บางฉากไปอยู่ในหนังอาจจะทำให้คนดูอินกับความรักสองคนนี้มากขึ้น
ซึ่งหลังจากคบกันได้ซักพักเรื่องก็รู้ไปถึงชัชด้วยความบังเอิญ ชัชเลยใช้อำนาจความเป็นพี่ชายของเจนบังคับให้โมจิช่วยปกปิดความผิดของตัวเองซึ่งเป็นเหตุให้โมจิโดนคำสั่งย้ายกลับญี่ปุ่น โมจิจึงบอกว่าตัวเองจะลาออกเพราะอยากอยู่กับเจนแล้วก็ได้ขอเจนแต่งงานครั้งแรกในออฟฟิศซึ่งเจนก็ตอบปฎิเสธไปแล้วให้เหตุผลตามสไตล์เจนว่า
“คู่รักที่คบกันสองเดือนแล้วแต่งงงานกันมีโอกาสเลิกกันถึง 80%”
ซึ่งหลังจากโมจิฟังคำตอบแล้วก็ยังไม่ยอม ขอให้ไปเล่นเบสบอลเพื่อตัดสิน ซึ่งเปิดโอกาสให้โมจิได้ใช้โอกาสที่สองที่ใส่แหวนไว้ในถุงมือเบสบอล (ซึ่งเอาจริง ๆ ฉากนี้แม่งโคตรโรแมนติคถ้าผมเป็นผู้หญิงกูยอมแต่งไปนานแล้วแหละ) แต่เจนก็ไม่แต่ง ด้วยเหตุผลที่ว่าห่วงคนโน้นคนนี้
จนความพยายามครั้งที่สามซึ่งเกิดขึ้นตอนเจนเพิ่งทำเลสิคเสร็จเธอจึงยอมแต่งงานกับเขาเปรียบเหมือนเบสบอลถ้าเป็นคนตีพลาดครั้งนี้ก็จบ
ซึ่งฉากนี้ความหมายในฉากคือ “ความรักทำให้เจนตาบอด” ซึ่งจะเห็นได้ว่าสองครั้งก่อนหน้าที่เจนปฎิเสธโมจิไป ตัวเจนมองเห็นอะไรได้ชัดเจนและตอบไปอย่างมีเหตุผล จนมาครั้งที่สามที่เธอมองเห็นโมจิไม่ชัดด้วยซ้ำแต่เธอก็ตกลงแต่งงานกับเขาทั้ง ๆ ที่อะไรไม่ชัดเจนและไม่มีเหตุใดมารองรับการตัดสินใจของเธอเลยนอกจากความรักล้วน ๆ
ที่มา: GDH
ทำให้ในฉากต่อมา “ชัช” ซึ่งเห็นอะไรได้ชัดกว่า “เจน” ห้ามไม่ให้เธอแต่งงาน ทั้ง ๆ ที่ในตอนพบกับแม่ของโมจิตอนแรกเขาก็แค่ตั้งใจจะกวนตีนเฉย ๆ ไม่ได้จะห้ามอะไรจริง ๆ แต่พอรู้ว่าแต่งงานแล้วทั้งสองคนจะย้ายไปอยู่ญี่ปุ่น ชัชกลับเปลี่ยนท่าทีเป็นห้ามไม่ให้แต่งจริง ๆ เพราะเขาคิดว่ามันเร็วไปและเจนคงไม่ได้ตัดสินใจด้วยเหตุผลจริง ๆ ซึ่งเขาคิดถูกเพราะเจนมาเฉลยในคืนก่อนงานแต่งงานว่าเธอไม่ได้ตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนจริง ๆ ในตอนนั้นซึ่งหลังจากฉากนั้นที่ “ชัช”และ “เจน” ก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนเจนไล่ให้ชัชออกจากบ้านไป
ทั้งสองกลับมาคุยกันดี ๆ อีกครั้งในคืนก่อนวันแต่งงานของเจน แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงเมื่อชัชรู้ว่างานใหม่ที่เขาได้มาก็เพราะเจนไปขอให้คนรู้จักช่วย ถ้าคิดในแง่ของพี่ที่เกิดก่อนแล้วต้องให้น้องหางานให้นี่เป็นการทำลายเกียรติหรือศักดิ์ศรีของพี่ชายโดยแท้จริงทำให้ชัชเลือกที่จะไม่เข้าไปร่วมงานแต่งงานแต่กลับเลือกออกไปข้างนอก ไปตกปลากับเพื่อนแทน (ถ้าสังเกตให้ดีเพื่อนที่ชัชชวนออกไปด้วยมีลูกสามคนเป็นการย้ำข้อความที่ผู้กำกับต้องการส่งหรือเปล่า ?) ก่อนที่ตัวชัชจะถูกตอกย้ำด้วยเลขสองรัว ๆ เหมือนเป็นการตอกย้ำว่า “มึงไม่มีวันเป็นที่หนึ่งได้หรอก” ทั้งตอนไปซื้อเบ็ดตกปลาหรือจะตอนที่ตื่นขึ้นมาวันถัดไปมี missed call แค่สองส่วนเพื่อนตัวเองมี 80 missed call แล้วพอกลับบ้านน้องดันโอนบ้านให้ตัวเองอีกทำให้ความรู้สึกห่วยของตัวเองที่สะสมมามันระเบิดออกจนทำให้ทั้งสองคนไม่ได้คุยกันอีกเลยจนกระทั่ง
ชัชได้คุยกับเดียร์อดีตเด็กฝึกงานที่บริษัทเก่าของชัช โดยเธอได้ถามเรื่องเจนซึ่งชัชไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเจนเลย ไม่รู้แม้กระทั่งน้องตัวเองอยู่เมืองไหนของญี่ปุ่น เดียร์ก็เลยเล่าเรื่องที่เจนทำให้ชัชตอนเมาหรือตอนที่เจนและชัชยังเป็นเด็กทำให้ชัชรู้ว่าเจนเป็นห่วงและรักตัวเขามากแค่ไหน ตัวหนังตั้งใจทำให้ซึ้งแต่เอาเข้าจริงไม่ซึ้งอย่างที่ควรจะเป็น ด้วยความที่เนื้อเรื่องที่ผ่านมาเราไม่ค่อยเห็นฉากความรักของพี่น้องคู่นี้เท่าไร ส่วนมากจะเป็นฉากที่มีการทะเลาะหรือเถียงกันซะมากกว่าเลยทำให้ไม่อินตามไปกับความรักและความห่วงใยของสองพี่น้องคู่นี้
แล้วสุดท้ายชัชก็ได้ไปเยี่ยมเจนที่ญี่ปุ่น ในหนังไม่ได้บอกว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแต่ก็พอจะเดา ๆ ได้ว่าเกินสามสี่ปีแน่นอน หนังพยายามหลอกว่าดูเหมือนไม่นานเพราะลูกเจนยังเล็กอยู่ แต่ความจริงเจนมีลูกคนที่สองนั่นคือคนเล็ก คนโตโตพอที่จะเข้าโรงเรียนแล้ว แสดงว่าพี่น้องสองคนนี้ไม่ได้คุยกันมานานมากทำให้เกิดฉากรองสุดท้ายขึ้น
ฉากที่ชัชคุยกับลูกชายคนโตของเจนแล้วบอกให้ “รักน้องให้มาก ๆ นะ” แล้วชัชก็นั่งร้องไห้แล้วเจนก็เดินเข้ามากอด
ผมขอยกให้ซีนนี้เป็นซีนที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้เลยครับ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้นักแสดงนำอย่างซันนี่ที่สามารถถ่ายทอดซีนอารมณ์นี้ได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติจริง ๆ ซึ่งเอาจริง ๆ ตัวเขาเองก็เป็นคนที่แบกหนังเรื่องนี้ไว้ทั้งเรื่องแต่ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีแทบไม่มีข้อบกพร่องเลยทีเดียว นั่นคือสิ่งดีงามอีกอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ครับ
ที่มา: GDH
โดยรวมแล้วเรื่องนี้เป็นหนัง Feel good ที่ทำได้ตามมาตรฐาน GDH ที่ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องและบทบางช่วงบางตอนจะค่อนข้างอ่อนไปหน่อยทำให้ผู้ชมอาจจะไม่ได้อินกับความรักของพี่น้องหรือความรักของชายหญิงมากขนาดนั้น แต่แค่มาดูการแสดงของซันนี่ในเรื่องนี้ผมว่าก็คุ้มแล้วครับ
7/10